วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การเลี้ยงไก่ดำภูพาน


ไก่ดำนั้นมีลักษณะแบบเดียวกับไก่ทั่วไปทุกอย่างเพียงแต่ว่ามี สีดำทั่วทั้งตัวเท่านั้น นั่นคือ หนังสีดำ เนื้อสีดำ กระดูกสีดำ และก็เครื่องในสีดำ ไก่ดำที่เลี้ยงในเมืองไทยเป็นไก่ดำเลือดผสมเนื่องจากเลี้ยงมานานจึงทำให้ผสมข้ามสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ จึงทำให้มีไก่ดำที่มีความหลากหลายทางสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ

การเลี้ยงไก่ดำภูพาน

- ไก่ดำคือไก่พื้นเมืองชนิดหนึ่งที่รูปร่างสวยงามซึ่งมีสีดำทั้งตัวโดยมีต้นกำเนิดมา  จากมองโกเลียส่วนนอก

- ไก่ดำนั้นมีลักษณะแบบเดียวกับไก่ทั่วไปทุกอย่างเพียงแต่ว่ามี สีดำทั่วทั้งตัวเท่านั้น นั่นคือ หนังสีดำ เนื้อสีดำ กระดูกสีดำ และก็เครื่องในสีดำ ไก่ดำที่เลี้ยงในเมืองไทยเป็นไก่ดำเลือดผสมเนื่องจากเลี้ยงมานานจึงทำให้ผสมข้ามสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ จึงทำให้มีไก่ดำที่มีความหลากหลายทางสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ

- ไก่ดำภูพาน เป็นสายพันธุ์หนึ่งของไก่ดำ ปรับปรุงพันธุ์จากไก่ดำจากประเทศจีน และจดสิทธิบัตรที่กรมทรัพย์สิน ทางปัญญา และขึ้นทะเบียนพันธุ์สัตว์กับกรมปศุสัตว์ โดย นายสัตวแพทย์วิศุทธิ์ เอื้อกิ่งเพชร หัวหน้างานศึกษาและพัฒนาด้านปศุสัตว์ ศูนย์ศึกษาพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านนานกเค้า ต.ห้วยยาง อ.เมือง จ.สกลนคร

- ไก่ดำภูพาน เป็นสัตว์เศรษฐกิจ ที่มีความต้องการในตลาดประเทศจีน ที่มีความเชื่อในสรรพคุณยาของไก่ดำ ซึ่งมีองค์ประกอบ ขนดำ หนังดำ เล็บดำ เนื้อเทาดำ และกระดูกก็สีเทาดำ

- ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้พัฒนาสายพันธุ์  ไก่ดำภูพานขึ้นมาโดยเริ่มต้นจากการรวบรวม ไก่ดำลูกผสมที่มีอยู่ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ที่หลงเหลือจากการนำเข้าจากประเทศจีนเมื่อประมาณ 15-20 ปีที่แล้ว โดยขอจากชาวบ้านจำนวน 5ตัว มาจัดแผนการผสมพันธุ์และคัดเลือกไก่ดำสายพันธุ์ดี โดยใช้ระยะเวลา 2 ปี จึงได้ไก่ดำภูพานที่ตรงตามลักษณะของไก่ดำทุกประการ โดยมีลักษณะ คือ ขนดำ หนังดำ หน้าแข้งดำ กระดูกเทาดำ และเนื้อสีเทาดำ

- จนถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2550 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ดำเนินการพัฒนา  ไก่ดำสายพันธุ์ภูพานเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยและสามารถขยายผลสู่การเลี้ยงของเกษตรกรได้แล้ว

- การเลี้ยงไก่ดำตามหลักการง่าย ๆ คือเกษตรกรต้องเอาใจใส่ดูแลในการเลี้ยง

- ให้น้ำสะอาดตั้งไว้ให้ไก่กินตลอดทั้งวันและคอยเปลี่ยนน้ำทุก ๆ วัน ให้อาหารผสมทุกเช้า-เย็น

- เพิ่มเติมจากอาหารที่ไก่หากินได้ตามปกติ เช่น ปลายข้าว รำข้าว ปลาป่น ข้าวโพดป่น ข้าวเปลือก กากถั่ว กากมะพร้าว

- หัวอาหารไก่สำเร็จรูปชนิดเม็ด หรือการให้หัวอาหารไก่สำเร็จรูปผสมลงในรำข้าวปลายข้าว หรือข้าวเปลือก เป็นวิธีการที่สะดวกที่สุด สามารถหาซื้อได้ง่ายและผสมเองได้ ช่วยให้ไก่เจริญเติบโตเร็ว มีเปลือกหอยป่น และเศษหินตั้งทิ้งไว้ให้ไก่กินเพื่อเสริมแคลเซียมและช่วยย่อยอาหาร และ ให้หญ้าสด ใบกระถินหรือผักสดให้ไก่กินทุกวัน

- ดูแลความสะอาดภาชนะอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในโรงเรือนและบริเวณใกล้เคียงด้วยน้ำสะอาดและยาฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ลักษณะโรงเรือนจะต้องระบายอากาศได้ดี ป้องกันลมโกรก หรือฝนสาด ด้านหน้าประตูเข้าโรงเรือนจะต้องมีอ่างน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับจุ่มเท้าก่อนเข้าโรงเรือน ไก่จะต้องได้รับอาหาร   และน้ำที่สะอาด

- ต้องทำการประมาณอาหารในแต่ละวันให้พอดีกับความต้องการของไก่ไม่ควรเหลือสะสมไว้ และน้ำควรเปลี่ยนเช้า เย็น และทุกวัน

- กรณีมีไก่ป่วยควรแยกไก่ป่วยออกจากฝูง เพื่อป้องกันการระบาดไปยังไก่ตัวอื่นในฝูง ถ้าไก่ป่วยตายควรเผาหรือฝังซากทันที

- ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง หรือมีการเคลื่อนย้าย ไก่อาจป่วยได้ ควรละลายไวตามินให้ไก่กินทั้งฝูง เพื่อให้ไก่แข็งแรงและมีสุขภาพดี

- ทำการถ่ายพยาธิไก่ทุก 4 เดือน อย่างสม่ำเสมอ ควรมีตู้ยาประจำฟาร์ม ประกอบด้วยยาปฏิชีวนะ ยาบำรุง และไวตามิน และก่อนนำไก่จากภายนอกเข้ามาเลี้ยงควรกักดูอาการก่อนอย่างน้อย 15 วัน ก่อนนำเข้ารวมฝูง

การเลี้ยงไก่ดำภูพาน

1.พ่อพันธุ์แม่พันธุ์

-ไก่ดำภูพานนี้ ซื้อมาจากศูนย์ฯภูพาน ในราคาชุดละ 1,000 บาท โดยหนึ่งชุดมี 4 ตัว คือ ไกดำตัวผู้ 1ตัว และไก่ดำตัวเมีย 4 ตัว

- ซื้อไก่ดำมาเลี้ยงตั้งแต่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์อายุประมาณ 2 เดือน

2.วิธีการเลี้ยง

- เลี้ยงรวมกันกับไก่บ้านทั่วไป

- กินอาหารตามธรรมชาติของไก่ทั่วไป คือ ข้าวเปลือก หว่านให้ทั่วแล้วปล่อยให้ไก่ไปจิกกินเอง

- แต่พิเศษกว่าก็คือ ทำคอกเลี้ยงไก่ให้อยู่แยกต่างหากจากไก่บ้านทั่วไป ให้อยู่ด้วยกันเฉพาะไก่ดำเท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันการกลายพันธุ์

- เลี้ยงไปเรื่อยๆจนไก่ดำพ่อแม่พันธุ์อายุประมาณ 8 เดือน จึงเริ่มจับผสมพันธุ์กัน

- เมื่อไข่ฟักออกมาเป็นตัวแล้ว ก็ให้แยกลูกไก่ออกมาส่องไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแทนแม่ไก่ แล้วปล่อยให้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ผสมพันธุ์กันต่อไป

- ไก่ดำภูพานนี้ จะฟักไข่ออกมาเรื่อยๆประมาณคอกละ 8-15 ตัว/ หนึ่งแม่

- ไก่ดำภูพานเป็นพันธุ์ที่ให้ลูกดกมาก สามารถผสมพันธุ์ไปได้เรื่อยๆจนกว่าพ่อแม่พันธุ์จะตาย

3.การขาย

-ชาวบ้านทั่วไปเน้นเลี้ยงไก่ดำไว้เพื่อรับประทานในครัวเรือน แต่ถ้าทางศูนย์ฯภูพานมีจำนวนไก่ดำไม่เพียงพอในการจำหน่ายให้กับเกษตรกร ก็สามารถมาขอซื้อไก่ดำภูพานได้ที่คุณสุภารัตน์เช่นกัน

- ขายไก่ดำเป็นชุด ราคาเดียวกันกับศูนย์ฯภูพานคือ ราคาชุดละ 1,000 บาท มีไก่อยู่ 4 ตัว คือ ไก่ดำตัวผู้ 1 ตัว และไก่ดำตัวเมียอีก 3 ตัว

- ขายปลีกให้กับชาวบ้านทั่วไปที่สนใจในราคาตัวละ 100 บาท (อายุลูกไก่ประมาณ 2 เดือน)

สนใจติดต่อพ่อ สมานไก่ดำภูพาน 0867788973

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ไก่ดำภูพานตุ๋นยาจีน



ไก่ดำภูพานตุ๋นยาจีน

ไก่ดำน่าจะเป็นไก่ที่มีราคาแพงที่สุด เป็นที่นิยมกัน  เพราะมีความเชื่อถือว่า เป็นอาหารที่ทรงคุณค่าและเป็นยาด้วย โดยมีสรรพคุณ เพิ่มพละกำลัง บำรุงสมอง ร่างกาย ต้านทานโรคต่างๆ ช่วยให้เลือดที่สูญเสียกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว บำรุงอวัยวะที่หมดสภาพให้กลับฟื้นคืนเป็นปกติ

แผงขายไก่บ้านที่ตลาดยิ่งเจริญจะมีไก่ดำขายด้วย  เห็นมานานแล้ว แต่ยังไม่อยากซื้อมาตุ๋น อยากลองทำไก่บ้านตุ๋นก่อน  เร็วๆ นี้พอได้ลองทำไก่บ้านตุ๋นยาจีนให้ผู้ใหญ่ทานกัน ทุกๆ ท่านชอบ  ก็ถือว่าประสพความสำเร็จมา 1 ขั้น  ดังนั้นก็ต้องลองเอาสุดยอดไก่คือ ไก่ดำมาตุ๋นยาจีนดู 

ไก่ดำภูพานหนักตัวละ 6 ขีด ราคา 120 บาท  หรือ ราคา 200 บาท/กก.  ไก่บ้านราคา 120 บาท/กก. ส่วนไก่ฟาร์ม ราคา 60 บาท/กก.

ไก่ดำภูพานตุ๋นยาจีน


ไก่ดำ 1 ตัว หนัก 600 กรัม ราคา 120 บาท มาพร้อมเครื่องใน


สูตรเครื่องยาจีน น้ำหนักโดยประมาณ
- ขวางฉี  10 กรัม
- ตังกุย  10 กรัม
- ชวงเกียง 10 กรัม
- รากโสม 10 กรัม
- เก๋ากี้ 15 กรัม
- พุทราแห้ง 20 กรัม

ที่บ้านตอนนี้มีเครื่องยาจีนสำหรับทำอาหารครบทุกชนิด   จัดเครื่องยาตามสูตร


เอาเครื่องยาไปต้มในน้ำจนเดือด หรี่ไฟ ต้มไปอีก 30 นาที


ใส่ไก่ดำภูพานลงไป พร้อมเกลือ พอน้ำเดือด หรี่ไฟ ปิดฝา ตุ๋นไก่ไป 1 ช.ม. 30 นาที พอดีเที่ยง ก็ปิดไฟ (ถ้ามีเวลาให้ตุ๋นนานกว่านี้ ประมาณ 2 ช.ม.)


ไก่ดำภูพานตุ๋นยาจีน




ผลออกมาก็ใช้ได้  น้ำซุปหวาน หอมกลิ่นยาจีน  และ กลิ่นยาจีนก็ไม่แรงเกินไป เพราะได้ระวังเรื่องปริมาณเครื่องยาไว้ เนื้อไก่นิ่มเกือบจะยุ่ย
สำหรับใครที่สนใจจะเลี้ยงไก่ดำภูพานเพื่อเป็นรายได้เสริม หรือต้องการไก่ดำภูพาน เนื้อแน่นสดใหม่ ติดต่อ พ่อสมานไก่ดำ ได้ครับ 0867788973

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ไก่ดำภูพาน


  ไก่ดำภูพาน

"ไก่ดำ ภูพาน" เป็นสายพันธุ์หนึ่งของ "ไก่ดำ" ปรับปรุงพันธุ์จาก "ไก่ดำ" จาก ประเทศจีน และจดสิทธิบัตรที่กรมทรัพย์สิน ทางปัญญา และขึ้นทะเบียนพันธุ์สัตว์กับกรมปศุสัตว์โดย นายสัตวแพทย์วิศุทธิ์ เอื้อกิ่งเพชร หัวหน้างานศึกษาและพัฒนาด้านปศุสัตว์ ศูนย์ศึกษาพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านนานกเค้า ต.ห้วยยาง อ.เมือง จ.สกลนคร "ไก่ดำภูพาน" เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีความต้องการในตลาดประเทศจีน ที่มีความเชื่อในสรรพคุณยาของ "ไก่ดำ" ซึ่งมีองค์ประกอบ ขนดำ หนังดำ เล็บดำ เนื้อเทาดำ และกระดูกก็สีเทาดำ

"ไก่ดำภูพาน"  เป็นสายพันธุ์หนึ่งของ "ไก่ดำ" ปรับปรุงพันธุ์จาก "ไก่ดำ" จาก ประเทศจีน และจดสิทธิบัตรที่กรมทรัพย์สิน ทางปัญญา และขึ้นทะเบียนพันธุ์สัตว์กับกรมปศุสัตว์โดย นายสัตวแพทย์วิศุทธิ์ เอื้อกิ่งเพชร หัวหน้างานศึกษาและพัฒนาด้านปศุสัตว์ ศูนย์ศึกษาพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านนานกเค้า ต.ห้วยยาง อ.เมือง จ.สกลนคร "ไก่ดำภูพาน" เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีความต้องการในตลาดประเทศจีน ที่มีความเชื่อในสรรพคุณยาของ"ไก่ดำ" ซึ่งมีองค์ประกอบ ขนดำ หนังดำ เล็บดำ เนื้อเทาดำ และกระดูกก็สีเทาดำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานขึ้น เมื่อพุทธศักราช 2525  เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอาชีพความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตของปวงชนชาวไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ศูนย์ศึกษาพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  ตั้งอยู่ที่บ้านนานกเค้า ตำบลห้วยยาง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ห่างอำเภอเมืองไปทางทิศตะวันตกประมาณ 10 กิโลเมตร มีพื้นที่ดำเนินการทั้งหมด 13,300 ไร่ การดำเนินงานแบ่งเป็น พื้นที่พัฒนาการเกษตรประมาณ 2,300 ไร่ พื้นที่เขตปริมณฑลเพื่อการพัฒนาป่าไม้ประมาณ 11,000 ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่มีชื่อว่า ป่าภูล้อมข้าวและป่าภูเพ็ก ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ เริ่มดำเนินการตั้งแต่พุทธศักราช 2527 โดยเพิ่มศึกษาค้นคว้าวิจัยทดลองงานพัฒนาการเกษตรที่เหมาะสมแก่ท้องถิ่น และนำออกเผยแพร่เป็นตัวอย่างให้ราษฎรนำไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาอาชีพ ฟื้นฟู และพัฒนาป่าไม้ การปลูกพืชเศรษฐกิจที่ให้ผลเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร
 การดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ นี้ มีหน่วยราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยร่วมรับผิดชอบ เช่น กรมชลประทาน กรมป่าไม้ กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
กิจกรรมของศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ครอบคลุมทุกด้านที่มีผลต่อการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมอันเหมาะสมแก่สภาพพื้นที่ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรในพื้นที่ ได้แก่
1.งานชลประทาน สร้างแหล่งเก็บกักน้ำ เช่น อ่างเก็บน้ำห้วยตาดไฮใหญ่ อ่างเก็บน้ำห้วยเดียก ฝายกักเก็บน้ำจากต้นน้ำลำธาร แนะนำการจัดระบบส่งน้ำและการใช้น้ำแก่เกษตรกร
2.งานศึกษาและพัฒนาเกษตรกรรม ศึกษาทดลองวิธีการที่ได้ผลในการเพิ่มผลผลิตและรายได้ เช่น ศึกษาทดสอบเลือกสายพันธุ์ข้าว พืช และไม้ผลที่เหมาะสมแก่สภาพพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ข้าว พืช และไม้ผลที่เหมาะสมแก่สภาพพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ข้าว พืชไร่ พืชสวน เป็นต้นว่า เงาะ ลำไย ทุเรียน น้อยหน่า หม่อนไหม ยางพารา เห็ด การจัดระบบการทำฟาร์ม การศึกษาวิธีแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร
3.งานศึกษาและพัฒนาป่าไม้ อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ที่ทรุดโทรม ปลูกและบำรุงป่าธรรมชาติ ส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน ส่งเสริมการปลูกหวายดง ไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ตลอดจนการเพาะเลี้ยงครั่ง ควบคุมและป้องกันไฟป่า
4.งานส่งเสริมและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการประมง ศึกษาทดลองและพัฒนาการประมงน้ำจืด ส่งเสริมการเลี้ยงปลาบ่อ และในกระชังในอ่างเก็บน้ำ
5.งานศึกษาและพัฒนาด้านปศุสัตว์ ปรับปรุงทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ศึกษาและทดลองการเลี้ยงสัตว์ การผลิตอาหารสัตว์ เช่น ส่งเสริมการปลูกกระถินเป็นรั้วบ้าน ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วฮามาต้า การจัดการด้านการเลี้ยงสัตว์ และวิธีแก้ปัญหา เช่น การป้องกันและกำจัดโรคของสัตว์
6.งานศึกษาและพัฒนาปรับปรุงบำรุงดิน อนุรักษ์ดินและน้ำวิจัยทดสอบ ถ่ายทอดความรู้แก่ราษฎรเพื่อให้พัฒนาที่ดินให้เกิดประโยชน์
7.งานส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครัวเรือน แนะนำฝึกอบรม ส่งเสริมความรู้ด้านอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การตีเหล็ก ผลิตมีด และเครื่องมือเกษตร ฝึกอบรมย้อมสีด้าย ทอผ้า เพื่อให้ราษฎรทำเครื่องใช้ในครัวเรือนเป็นการประหยัด หรือเป็นอาชีพเสริมเพิ่มพูนรายได้
8.งานส่งเสริมการเกษตร นำความรู้ด้านเกษตรที่ศึกษาทดลองได้ผลเป็นที่พอใจแล้ว เผยแพร่แก่เกษตรกรให้นำไปปฏิบัติด้วยตนเอง
9.งานศึกษาและพัฒนาหมู่บ้านตัวอย่าง จัดระเบียบชุมชนและพัฒนาคุณภาพชีวิตตามเกณฑ์ความจำเป็นพื้นฐาน จัดตั้งและพัฒนาองค์กรประชาชนในหมู่บ้านรอบศูนย์
10.งานฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี ถ่ายทอดความรู้ด้านเกษตรกรรมแก่ราษฎรในหมู่บ้านรอบศูนย์ และราษฎรในจังหวัดต่าง ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้นำความรู้ไปพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิต
 
กว่าจะมาเป็น ไก่ดำภูพาน”
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้พัฒนาสายพันธุ์ "ไก่ดำภูพาน" ขึ้นมาโดยเริ่มต้นจากการรวบรวม "ไก่ดำ" ลูก ผสมที่มีอยู่ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ที่หลงเหลือจากการนำเข้าจากประเทศจีนเมื่อประมาณ 15-20 ปีที่แล้ว โดยขอจากชาวบ้านจำนวน 5 ตัว มาจัดแผนการผสมพันธุ์และคัดเลือก "ไก่ดำ" สายพันธุ์ดี โดยใช้ระยะเวลา 2 ปี จึงได้ "ไก่ดำภูพาน" ที่ตรงตามลักษณะของ "ไก่ดำ" ทุก ประการ โดยมีลักษณะ คือ ขนดำ หนังดำ หน้าแข้งดำ กระดูกเทาดำ และเนื้อสีเทาดำ จนถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2550 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ดำเนินการพัฒนา "ไก่ดำ" สายพันธุ์ภูพานเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยและสามารถขยายผลสู่การเลี้ยง ของเกษตรกรได้แล้ว

 
คุณสมยศ โคตรธรรม พนักงานสัตวบาล แผนกสัตว์ปีก งานศึกษาและพัฒนาด้านปศุสัตว์ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร เจ้าหน้าที่ผู้ให้ข้อมูล
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ไก่ดำภูพาน
1. ลักษณะพ่อพันธุ์ จะต้องมีรูปร่างสมบูรณ์แข็งแรง อายุตั้งแต่ 9 เดือน แต่ไม่เกิน 3 ปี และมีน้ำหนักตั้งแต่ 2.5 กิโลกรัม
2. ลักษณะแม่พันธุ์ จะต้องมีรูปร่างที่สมบูรณ์แข็งแรง อายุตั้งแต่ 7 เดือน แต่ไม่เกิน 3 ปี ให้ไข่ชุดละ 10-15 ฟอง เลี้ยงลูกเก่ง มีนิสัยไม่ดุร้ายหรือจิกตีลูกไก่ของตัวอื่น
3. พ่อพันธุ์ไก่ 1 ตัว สามารถคุมฝูงเพื่อผสมพันธุ์แม่ไก่ได้ไม่เกิน 6-10 ตัว และไม่ควรให้คุมฝูงนานเกินไป เพราะจะทำให้เกิดปัญหาเลือดชิดในฝูงได้
การเลี้ยง "ไก่ดำ"   ตามหลักการง่ายๆ คือเกษตรกรต้องเอาใจใส่ดูแลในการเลี้ยง ให้น้ำสะอาดตั้งไว้ให้ "ไก่" กินตลอดทั้งวันและคอยเปลี่ยนน้ำทุกๆ วัน ให้อาหารผสมทุกเช้า-เย็น เพิ่มเติมจากอาหารที่ "ไก่" หากินได้ตามปกติ เช่น ปลายข้าว รำข้าว ปลาป่น ข้าวโพดป่น ข้าวเปลือก กากถั่ว กากมะพร้าว หัวอาหารไก่สำเร็จรูปชนิด เม็ดหรือการให้หัวอาหารไก่สำเร็จรูปผสมลงในรำข้าว ปลายข้าวหรือข้าวเปลือกเป็นวิธีการที่สะดวกที่สุด สามารถหาซื้อได้ง่ายและผสมเองได้ ช่วยให้ "ไก่" เจริญเติบโตเร็ว มีเปลือกหอยป่นและเศษหินตั้งทิ้งไว้ให้"ไก่"กินเพื่อเสริมแคลเซียมและช่วย ย่อย อาหารและให้หญ้าสดใบกระถินหรือผักสดให้ "ไก่" กินทุกวัน
 
การเลี้ยงดูไก่เล็ก
1.การเลี้ยงไก่ดำภูพานนั้น ใช้การเลี้ยงไก่แบบพื้นบ้าน เป็นการเลี้ยงโดยให้แม่ไก่ทำหน้าที่ในการกกและเลี้ยงลูกเอง จนลูกไก่อายุ 6- 8 สัปดาห์ จึงปล่อยให้ลูกไก่ออกหากินเองแยกจากแม่ไก่
2.ในช่วงสัปดาห์แรก ลูกไก่ยังไม่แข็งแรง ควรใช้สุ่มครอบหรือขังกรงแม่ไก่กับลูกไก่ไว้ โดยให้อาหารและน้ำ หรืออาจแยกลูกไก่นำไปอนุบาลเลี้ยง โดยใช้ไฟฟ้ากกให้ความอบอุ่นแก่ลูกไก่
3.ดูแลความสะอาดภาชนะอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ในโรงเรือนและบริเวณใกล้เคียงด้วยน้ำสะอาดและยาฆ่าเชื้อโรคทุกวัน ลักษณะโรงเรือนจะต้องระบายอากาศได้ดี ป้องกันลมโกรกหรือฝนสาด ด้านหน้าประตูเข้าโรงเรือนจะต้องมีอ่างน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับจุ่มเท้าก่อนเข้า โรงเรือน "ไก่" จะต้องได้รับอาหารและน้ำที่สะอาด ต้องทำการประมาณอาหารในแต่ละวันให้พอดีกับความต้องการของ "ไก่" ไม่ควรเหลือสะสมไว้และน้ำควรเปลี่ยนเช้า เย็น และทุกวัน

 

การฟักไข่
1.แม่ไก่ดำภูพานจะเริ่มให้ไข่ เมื่ออายุประมาณ 6-8 เดือน ให้ไข่ประมาณ 3-4 ชุด/ปี ชุดละ 10-15 ฟอง/ตัว แม่ไก่เมื่อไข่หมดชุดแล้วก็จะเริ่มฟักไข่
2.ปกติการฟักไข่ตามธรรมชาติแม่ไก่จะเป็นผู้ฟักไข่เอง ก่อนจะให้แม่ไก่ฟักไข่ ควรฆ่าไรและเหาบนตัวไก่ก่อน โดยจับแม่ไก่จุ่มน้ำยาฆ่าไร เหา ทั้งนี้เพื่อป้องกันไร และ เหา รบกวนแม่ไก่ขณะฟักไข่
3.แต่ที่ศูนย์ภูพานนี้จะใช้เครื่องฟักไข่ช่วยในการฟักไข่ เพราะเมื่อถึงเวลาฟักไข่แม่ไก่จะไม่ค่อยกินอาหาร ดังนั้นจึงใช้เครื่องฟักไข่ช่วย เพื่อให้แม่ไก่ไม่โทรมเร็ว และสามารถวางไข่ได้ต่อเนื่องประมาณ 5-6 ชุด/ปี มากกว่าปกติ
4.การฟักไข่นี้จะใช้เวลาเท่ากันทั้งการฟักไข่โดยแม่ไก่ หรือการใช้เครื่องฟักไข่ช่วย คือ ใช้ระยะเวลาในการฟักไข่จนออกเป็นตัวประมาณ 21 วัน
การดูแลด้านสุขภาพแก่ไก่ภูพาน
1. โปรแกรมวัคซีน ฉีดวัคซีนนิวคลาสเซิลให้ไก่ที่อายุ 1 - 3 วัน โดยวิธีการหยอดเข้าตา (ทำซ้ำทุก 3 เดือน)
2. ฉีดวัคซีนหลอดลมอักเสบ สำหรับไก่อายุ 7 วัน โดยวิธีการหยอดเข้าตาหรือจมูก (ทำซ้ำทุก 3 เดือน)
3. ฉีดวัคซีนฝีดาษ สำหรับไก่อายุ 14 วัน โดยใช้เข็มคู่แทงเข้าใต้ปีก (ทำปีละครั้ง)
4. ฉีดวัคซีนอหิวาต์ไก่ สำหรับไก่อายุ 1 เดือน โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกในปริมาณ 1 ซีซี (ทำซ้ำทุก 3 เดือน)

การสุขาภิบาล
1.ดูแลความสะอาดภาชนะอุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ในโรงเรือนและบริเวณใกล้เคียงด้วยน้ำสะอาดและยาฆ่าเชื้อโรคทุกวัน
2.ลักษณะโรงเรือนจะต้องระบายอากาศได้ดี ป้องกันลมโกรก หรือฝนสาด ด้านหน้าประตูเข้าโรงเรือนจะต้องมีอ่างน้ำยาฆ่าชื้อสำหรับจุ่มเท่าก่อนเข้าโรงเรือน
3.ไก่จะต้องได้รับอาหารและน้ำที่สะอาด ต้องประมาณอาหารที่ให้ในแต่ละวันให้พอดีกับความต้องการของไก่ ไม่ควรเหลือสะสมไว้ น้ำควรเปลี่ยนเช้า-เย็น ทุกวัน
4.กรณีมีไก่ป่วย ควรแยกไก่ป่วยออกจากฝูง เพื่อป้องกันการระบาดไปยังไก่ตัวอื่น ถ้าไก่ป่วยตายควรเผาหรือฝังซากทันที
5.ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงหรือมีการเคลื่อนย้าย ไก่อาจป่วยได้ ควรละลายไวตามินให้ไก่กินทั้งฝูง เพื่อให้ไก่แข็งแรงและมีสุขภาพดี
6.ทำการถ่ายพยาธิไก่ทุก 4 เดือน อย่างสม่ำเสมอ
7.ควรมีตู้ยาไว้ประจำฟาร์ม ประกอบด้วยยาปฏิชีวนะ ยาบำรุง และไวตามิน
8.ก่อนนำไก่จากภายนอกเข้ามาเลี้ยง ควรกักดูอาการก่อนอย่างน้อย 15 วัน ก่อนนำเข้ารวมฝูง

กรณีมี "ไก่" ป่วยควรแยก "ไก่" ป่วยออกจากฝูง เพื่อป้องกันการระบาดไปยัง "ไก่" ตัวอื่นในฝูง ถ้า "ไก่" ป่วยตายควรเผาหรือฝังซากทันที ช่วงอากาศเปลี่ยน แปลงหรือมีการเคลื่อนย้าย "ไก่" อาจป่วยได้ ควรละลายไวตามินให้ "ไก่" กินทั้งฝูง เพื่อให้ "ไก่" แข็งแรงและมีสุขภาพดี ทำการถ่ายพยาธิไก่ทุก 4 เดือน อย่างสม่ำเสมอ ควรมีตู้ยาประจำฟาร์ม ประกอบด้วยยาปฏิชีวนะ ยาบำรุง และไวตามิน และก่อนนำ "ไก่" จากภายนอกเข้ามาเลี้ยงควรกักดูอาการก่อนอย่างน้อย 15 วัน ก่อนนำเข้ารวมฝูง
ขอบคุณที่มา web รักบ้านเกิด







สนใจไก่ดำภูพาน ติดต่อพ่อสมานไก่ดำ อำเภอเดชอุดม line id tunder554


วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ไก่ดำภูพาน

ไก่ดำภูพาน

 

ไก่ดำภูพาน มีที่มาจากไหน มีคุณสมบัติอะไรบ้าง  สำหรับชาวเกษตรพอเพียงก็สามารถเลี้ยงเพื่อรับประทานในครอบครัว มีเหลือก็ขายเป็นรายได้เสริมอีกทางนะครับ  การเลี้ยงไก่ดำภูพาน ก็เหมือนกันกับไก่บ้าน ทั่วไป ครับ  

 @พ่อสมานไก่ดำ 0867788973

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การเพาะถั่วงอก ที่พอเพียงและแบ่งปันให้สังคม

การเพาะถั่วงอก ที่พอเพียงและแบ่งปันให้กับสังคม

การทำการเกษตร ไม่ว่าจะเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช ถ้าเราทำอย่างพอเพียงและแบ่งปัน ให้กับคนรอบข้างได้ ไม่หวงความรู้ มันเป็นคุณค่าที่น่านับถือมากครับ สำหรับใครที่มองหาอาชีพเสริม และอาชีพหลัก วีดีโอนี้ผมว่ามันช่วยท่านได้แน่นอน ขอบคุณที่มา รายการหอมแผ่นดิน
ผมเองก็ได้เริ่มต้นเลี้ยงไก่ดำภูพาน และอยากแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ที่อยากทำเกษตรรักเกษตรพอเพียง  แต่วันนี้มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ของผมเท่านั่น ขอกำลังใจจากเพื่อน ๆ และขอคำแนะนำด้วยนะครับ  @พ่อสมาน ไก่ดำภูพาน

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เห็ดโคลน

เห็ด เป็นพืชที่คนไทยคุ้นเคยมาเป็นเวลานาน และเห็ดนั้นก็จัดได้ว่ามีมากมายหลายประเภท ซึ่งเห็ดแต่ละประเภทนั้นก็ให้ประโยชน์และให้โทษต่างกันไป สำหรับการเลือกกินเห็ดนั้นควรศึกษาชนิด หรือประเภทให้ดีก่อน เพราะเห็ดบางประเภทนั้นให้โทษถึงแก่ชีวิต
      
       และในทุกๆ ฤดูปลายฝนต้นหนาว จะมีเห็ดอยู่หนึ่งชนิดที่ออกดอกมาให้กินแค่ในช่วงระยะเวลาไม่นานนี้เท่านั้น ซึ่งเห็ดที่ว่านั้นก็คือ “เห็ดโคน” ซึ่งเห็ดโคนเป็นเห็ดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่มีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ พบมากในป่าที่มีจอมปลวก จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเห็ดปลวกนั่นเอง
      
       สำหรับเห็ดโคนนั้นก็เรียกได้ว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย มีทั้งวิตามิน บี 1 บี 2 และวิตามินซี ช่วยย่อยอาหาร ช่วยเป็นยาบำรุงกำลัง แก้บิด แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ หากกินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ ซึ่งจากการทดลองทางเภสัชศาสตร์พบว่า น้ำที่สกัดจากเห็ดโคนสามารถยับยั้งเชื้อโรคบางชนิด เช่นเชื้อไทฟอยด์ ได้อีกด้วย
      
       เรียกได้ว่าประโยชน์ของเห็ดโคนนั้นมีมากมายไม่แพ้ความอร่อยเลย อีกทั้งเห็ดโคนยังสามารถนำมาทำเป็นเมนูต่างๆ ได้มากมาย อาทิ ยำเห็ดโคน ต้มยำเห็ดโคน ผัดเห็ดโคน หรือจะนำไปเป็นส่วนผสมเมนูอื่นๆ ก็สามารถทำได้


วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หญ้าหวาน

'ต้นหญ้าหวาน' เทรนด์ใหม่ของคนรักสุขภาพ ให้ความหวานจากธรรมชาติ แต่ปราศจากแคลอรี่
การมีสุขภาพ พร้อมรูปร่างที่ดีเป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนปรารถนา ซึ่งคุณผู้หญิงทั้งหลายมักมีการดูแลรูปร่าง และควบคุมน้ำหนักที่แตกต่างกันออกไป ทั้งการออกกำลังกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน รวมทั้งการอดอาหาร แต่หารู้ไม่ว่าการ “อดอาหาร” ที่เหล่าคุณผู้หญิงส่วนมากกำลังเผชิญอยู่นั้น นำมาซึ่งผลเสียต่างๆ อาทิ โรคกระเพาะอาหาร ร่างกายอ่อนเพลีย และอารมณ์แปรปรวน เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นการทรมานร่างกาย แถมบางรายอาจเกิดโยโย่เอฟเฟคตามมาภายหลังอีกด้วย
เพราะฉะนั้นการควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีอดอาหารจึงไม่ควรปฏิบัติเป็นอย่าง ยิ่ง หากแต่เราควรลองเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน รู้จักควบคุมอาหารให้ถูกต้อง เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดการกินอาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาลให้น้อยลง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการทำการวิจัยและค้นพบ สารให้ความหวานที่สกัดจากธรรมชาติอย่าง “ต้นหญ้าหวาน” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่ควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างมาก
คุณสมบัติ วิจันทมุข ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงสารให้ความหวานที่สกัดจากธรรมชาติอย่าง “ต้นหญ้าหวาน” ว่า จริงๆ แล้วต้นหญ้าหวานเป็นที่นิยมในประเทศทางฝั่งซีกโลกตะวันตกมานานหลายปี และนิยมบริโภคกันมากในกลุ่มคนรักสุขภาพ
แต่ต้นหญ้าหวานเริ่มเข้าสู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 จัดเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง โดยเมื่อนำต้นหญ้าหวานมาส กัด จะได้สารสกัดจากธรรมชาติที่สำคัญ ที่เรียกว่า สตีวิออลไกลโคไซด์ (Steviol glycosides) หรือ สตีเวีย (Stevia) มีคุณสมบัติสามารถให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 200-300 เท่า แต่ไม่ให้พลังงาน เพราะไม่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรต ที่ร่างกายสามารถใช้เป็นพลังงานได้ จึงปราศจากแคลอรี่ ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง แต่กลับช่วยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคอ้วน และโรคหัวใจ รวมถึงผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะช่วยลดไขมันในร่างกายและในเส้นเลือด
ด้านผลงานวิจัยของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยังกล่าวเสริมว่า สารสกัดจากต้นหญ้าหวานมี ความปลอดภัยในทุกๆ กรณี โดยค่าสูงสุดที่กินได้อย่างปลอดภัยคือ 7,938 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสูงมาก เทียบเท่ากับการผสมในเครื่องดื่มหรือกาแฟถึง 73 ถ้วยต่อวัน โดยปรกติคนส่วนใหญ่ดื่มกาแฟกันประมาณ 2-3 ถ้วยเท่านั้น ซึ่งการใช้ต้นหญ้าหวานอย่างปลอดภัย คือ ประมาณ 1-2 ใบต่อเครื่องดื่ม 1 ถ้วย ถือเป็นปริมาณที่เหมาะสม และไม่หวานมากจนเกินไป สารสกัดจากต้นหญ้าหวานนี้ สามารถใช้บริโภคแทนน้ำตาลได้ และสามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย
ทั้งนี้ ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ขึ้นทะเบียนให้สารสกัดธรรมชาติจากต้นหญ้าหวาน อย่างสารสตีวิออลไกลโคไซด์ (Steviol glycosides) หรือ สตีเวีย (Stevia) สามารถบริโภคแทนน้ำตาลได้ เพราะมีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตราย หรือมีผลข้างเคียงใดๆ โดยได้มีการนำไปใช้ในด้านอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างเครื่องดื่ม ซึ่งช่วยสร้างความแตกต่างจากเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำทั่วไป
ดังนั้นคุณผู้หญิงรักสุขภาพทั้งหลายที่กำลังมองหาตัวช่วยในการควบคุม น้ำหนัก หรือคุณผู้ชายที่ต้องการตัวช่วยในการควบคุมน้ำตาลในเลือด ลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากธรรมชาติอย่างสตีเวีย (Stevia) เป็นทางเลือกใหม่ เพราะนอกจากจะให้ความหวานจากธรรมชาติแล้ว ยังปราศจากแคลอรี่อีกด้วย

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เกษตรกรเปลี่ยนโลก

เกษตรกรเปลี่ยนโลก

ศิวพร เอี่ยมจิตกุศล บทพิสูจน์ 7 ปีของการเป็นเกษตรกรด้วยใจรักอย่างแท้จริง ผ่านโครงการปลูกเปลี่ยนโลก (โรค)

บทพิสูจน์ 7 ปีของการเป็นเกษตรกรด้วยใจรักอย่างแท้จริง ผ่านโครงการปลูกเปลี่ยนโลก (โรค) ซึ่งเป็นโครงการอาหารปลอดภัยที่ทำร่วมกับโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี เกิดเป็นตลาดนัดสุขภาพจนถึงทุกวันนี้

บนเนื้อที่ 30 ไร่ใน ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เป็นทั้งสวนทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง แปลงผักสวนครัว นาข้าวและที่อยู่ของเป็ด ห่าน เปรียบเสมือนแปลงทดลองขนาดใหญ่สำหรับเกษตรกรมือใหม่ในชื่อ "ศิวพร เอี่ยมจิตกุศล" หรือป้าเบสท์ เจ้าของรางวัลเกษตรอินทรีย์ดีเด่น จ.จันทบุรี

พื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด เกิดและเติบโตในเมืองหลวงย่านตลาดพลู เรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนราชินี จากนั้นสอบติดสถาปัตย์จุฬาฯ แต่เรียนมาถึงปี 3 รู้ตัวว่า สถาปนิก ไม่ใช่อาชีพที่อยากเป็น เพราะถ้าสร้างตึกไม่ดีจะเป็นการประจานตนเองไปตลอดชีวิต จึงเบนเข็มมาเรียนการออกแบบผลิตภัณฑ์ จากนั้นไปฝึกงานที่กรมวิทยาศาสตร์บริการ พบรักกับสามีที่เป็นข้าราชการ อายุมากว่า 15 ปี ถือเป็นเรื่องฮือฮามาก เพราะเธอแต่งงานเป็นคนแรกในรุ่น

หลังจากแต่งงานมาระยะหนึ่ง เริ่มมีปัญหาสุขภาพจาก แรงกดดันหลายเรื่อง เพราะอยากทำทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จในช่วงที่ทำธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้าทั้งโรคภูมิแพ้ ไมเกรนและตรวจพบก้อนเนื้อบริเวณหน้าอก เธอ หยุดทำงานและเริ่มออกท่องเที่ยวอย่างเดียวเพื่อหาคำตอบให้ชีวิต

เงิน "ไม่ใช่"คำตอบของชีวิต สุดท้ายเธอตัดสินใจย้ายออกจากกรุงเทพฯ และกลายมาเป็น "ชาวสวน" เต็มตัว

เรียนรู้จากธรรมชาติ

ศิวพรเป็นชาวสวนที่ไม่มีพื้นฐานความรู้เรื่องการเกษตร แต่เธอเริ่มศึกษาและเลือกเกษตรอินทรีย์อย่าง จริงจัง ผลผลิตจากพื้นที่ 30 ไร่ออกมาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะมีอาหารปลอดภัยไว้รับประทานเองแล้ว ยังเหลือส่งขายให้โรงพยาบาล โรงเรียนทางเลือกในกรุงเทพฯ รวมถึงร้านค้าเพื่อสุขภาพอย่างเลม่อนฟาร์มอีกด้วย

แต่กว่าจะถึงวันนี้เธอลองผิดลองถูกมามากมาย

จากประสบการณ์ เธอพบว่า ทฤษฎีการทำเกษตรอินทรีย์คือ ต้องทำดินให้มีคุณภาพดีที่สุดเหมือนกับดินในป่า ด้วยการใส่ปุ๋ยที่เป็นปุ๋ยอินทรีย์หมัก ใส่ไปจนกระทั่งต้นไม้ที่อยู่ตรงนี้แข็งแรงด้วยตัวเอง ถึงจะมีพลังต่อสู้และต้านทานต่อโรคได้ เธอจึงหมักปุ๋ยอินทรีย์ปีละ 90 ตัน

ด้วยความเป็นคนที่คิดนอกกรอบ เธอมองว่า การเลี้ยงเป็ดห่านจะช่วยกำจัดหญ้าและเพิ่มปุ๋ยให้กับดิน สวนทางกับแนวคิดของเกษตรกรอื่นๆ ซึ่งคิดว่าไม่ควรนำเป็ดห่านเข้ามาในแปลงผลไม้ เพราะจะทำให้ต้นไม้เสียหาย แต่เธอไม่ได้เชื่อตามนั้น จึงทดลองปล่อยเป็ดห่านในแปลงผลไม้ ปรากฏว่าหญ้าที่เคยรกมากกลับเตียนหายไป ต้นไม้ดูดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์ ทำให้เธอทำงานน้อยลงแล้วก็ได้ผลดีต่อระบบนิเวศในภาพรวม

 

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ